สวัสดีคุณผู้อ่านทุกท่านนะคะ ว่ากันว่า “ความสุขเล็กๆของคนเรา มักจะเริ่มต้นจากการเดินทาง” และครั้งนี้นะคะ เราจะมาแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวอีกแห่ง ซึ่งคิดว่าใครหลายๆคนคงรู้จักและใฝ่ฝันอยากมาเทียวชมสักครั้งในชีวิต นั่นก็คือ เมืองเวนิส หรือ เวเน็ตเซีย ตามด้วยฉายาต่างๆนานา ไม่ว่าจะเป็น เมืองแห่งสายน้ำ เมืองแห่งสะพาน เมืองแห่งแสงสว่าง ราชินีแห่งทะเลอาเดรียตริก นั่นเอง ว่าแต่คุณผู้อ่านทราบไหมคะ ว่าเวนิสที่ว่า ตั้งอยู่ที่ประเทศไหนเอ่ย น่าสนใจอย่างไร และทำไมถึงได้ฉายามากมายขนาดนี้ เอาละค่ะ ตอนนี้เรามาทำความรู้จัก เพื่อที่จะได้หายสงสัยกันดีกว่า.
เมืองเวนิส หรือ เวเน็ตเซีย (Venezia)
เป็นเมืองหลวงของแคว้นเวเนโต (Veneto) ประเทศอิตาลี มีประชากรประมาณ 271,663 คน นับรวมหมดทั้งเวนิสมี 62,000 คน บริเวณเมืองเก่า 176,000 คน ที่เทอร์ราเฟอร์มา และ 31,000 คนและตามเกาะอื่นๆ ในทะเลสาบ เมืองเวนิสสร้างขึ้นจากการเชื่อมเกาะเล็กๆจำนวนมากเข้าด้วยกันในบริเวณทะเลสาบเวนิเทีย ทั้งหมด 118 เกาะเข้าด้วยกัน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของทะเลอาเดรียติกทางภาคเหนือของทะเลสาบแห่งนี้ ตั้งอยู่บริเวณชายฝั่งระหว่างปากแม่น้ำโปกับแม่น้ำพลาวิ เป็นเมืองที่มีคลองมากที่สุดในโลก
ในบรรดาเมืองท่องเที่ยวของอิตาลี เมืองเวนิส ดูจะเป็นเมืองที่มีเอกลักษณ์เฉพาะที่แตกต่างจากทุกเมืองในโลก เป็นเมืองที่ตั้งอยู่กลางทะเลสาบที่สวยงาม มีคลองสำหรับใช้สัญจรแทนถนนมากกว่า 150 สาย มีสะพานเชื่อมคลองมากกว่า 400 แห่งที่โดดเด่นเป็นที่ดึงดูดใจนักท่องเที่ยวอีกทั้งยังเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยสีสันแห่งศิลปวัฒนธรรมและดนตรียามค่ำคืน
เวนิส คือเมืองที่ขึ้นชื่อในเรื่องของ มหาวิหารซานมาร์โค (St.Mark’s Basilica) ถือว่าเป็นสัญลักษณ์แห่ง เวนิส และพาหนะสำคัญที่ชาวเวนิสใช้ในการเดินทางไปยังพื้นที่ต่างๆของเมืองก็คือเรือท้องแบนลำยาวที่ชื่อว่า เรือกอนโดลา ที่มีการใช้คลองในการคมนาคมกระจายอยู่ทั่วตัวเมืองมากที่สุด ที่อยู่อาศัยก็ปลูกสร้างลัดเลาะตามสายน้ำ เดินทางโดยเรือบริการไปยังที่ต่างๆ ชมทิวทัศน์ธรรมชาติ 2 ฝั่งคลอง นับเป็นเมืองหนึ่งที่มีคลองมากกว่าถนน ทว่าจุดกำเนิดของเมืองแห่งสายน้ำนี้กลับเริ่มต้นจากการปล้นชิงที่โหดร้ายและทารุณอย่างที่สุดครั้งหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์
เดิมต้นกำเนิดของเมืองเวนิส ในสมัยโบราณ จูเลียส ซีซาร์ ได้ทำสงครามกับชนเผ่ากอลซึ่งอาศัยอยู่ในดินแดนยุโรปตะวันตก ในการสงครามครั้งหนึ่ง ซีซาร์ต้องทำศึกกับชาวกอลเผ่าวินีธืซึ่งเชี่ยวชาญการรบทางน้ำ ทว่าหลังจากฝ่ายโรมันใช้กลยุทธ์สร้างเขื่อนปิดล้อมอ่าวอันเป็นที่มั่นของพวกวินีไธแล้ว ก็สามารถเอาชัยชนะเหนือชาวกอลเผ่านี้ได้
พวกโรมันได้กวาดต้อนชาววินีไธเป็นเชลยโดยให้อาศัยอยู่ในดินแดนทางด้านเหนือของคาบสมุทรอิตาลีและเรียกดินแดนนั้นว่า มณฑลวีนีเธีย ต่อมาในปี ค.ศ. 452 อัตติลา ประมุขแห่งชาวฮั่นได้ยกทัพเข้ารุกรานจักรวรรดิโรมันตะวันตก ทัพฮั่นได้บุกเข้ามณฑลวินีเธียและปล้นชิงทรัพย์สินเข่นฆ่าผู้คนอย่างทารุนทั้งยังเผาทำลายเมืองต่างๆจนพินาศสิ้น ชาววินีเธียที่เหลือรอดต่างหลีออกจากมณฑลเดิม บ้างไปอยู่ยังดินแดนอื่นและบ้างก็ไปหาที่หลบภัยตามเกาะแก่งต่างๆที่อยู่นอกชายฝั่งทะเลเอเดรียติกทางตอนเหนือ ครั้งต่อมาเมื่อมีอารยชนเผ่าอื่นๆเข้ารุกรานดินแดนโรมันอีก บรรดาชาวโรมันก็ได้อพยพเข้าไปยังเกาะแก่งเหล่านี้เพิ่มมากขึ้น
โดยจากเอกสารในสมัยโบราณ มีการอ้างถึงเรือชนิดนี้เป็นครั้งแรกใน ปี ค.ศ. 1094 ทั้งนี้นับแต่ยุคกลางเรื่อยมาจนถึงยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยา นครเวนิสได้กลายเป็นศูนย์กลางทางการค้าและมหาอำนาจในการเดินเรือของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ตราบจนถึงยุคที่อาณาจักรใหญ่ๆในยุโรปอย่าง สเปน โปรตุเกส ฝรั่งเศสและอังกฤษ พัฒนากองทัพเรือและเส้นทางเดินเรือข้ามทวีป ความรุ่งเรืองของเวนิสรวมทั้งนครรัฐอื่นๆในอิตาลีก็ค่อยๆเสื่อมลงจนหมดบทบาทไปในเวลาต่อมานั่นเอง
ในแวดวงวรรณกรรม เมืองเวนิส
เป็นที่รู้จักจากเรื่อง พ่อค้าแห่งเวนิส บทประพันธ์ของ วิลเลียม เชคสเปียร์ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงนำมาประพันธ์เป็นบทละครชื่อ เวนิสวานิช แต่บทประพันธ์ที่มีชื่อเสียงก้องโลกที่สุด คือ Romeo and Juliet เชื่อกันว่า เวนิส เป็นถิ่นกำเนิดของทั้งคู่ ทั้งเส้นทางแห่งสายน้ำ สถาปัตยกรรมอันคลาสสิก กอปรกับตำนานรักอมตะ ส่งเสริมให้ เวนิส เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่โรแมนติกที่สุดในโลก และด้วยความสวยงามและความน่าอยู่ของบ้านเมือง จึงทำให้เวนิสเป็นอีกหนึ่งในเมืองมรดกโลกอีกด้วยค่ะ
เนื่องจากเวนิสเป็นเมืองที่มีนักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวตลอดปี จึงได้มีการจัดงานตามเทศกาลคอนเสิร์ต โอเปร่า ละคร งานประกวดภาพยนตร์นานาชาติ งานเทศกาลสินค้า ตลาดนัด นิทรรศการงานศิลปะ การประชุมสัมมนา การแข่งขันกีฬา และกิจกรรมดึงดูดนักท่องเที่ยวอื่นๆ เฉลี่ยตลอดทั้งปี งานเทศกาลเก่าแก่และที่มีชื่อได้แก่ งาน Carnevale di venezia จัดประมาณกุมภาพันธ์ทุกปี การแข่งเรือ (Vogalonga)จัด ประมาณเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน ของทุกปี นอกจากนี้ งานเทศกาลสำคัญอื่นๆ ได้แก่ La festa della Sensa, Il Redentore, La Regata Storica, La festa della Salute, La stagione remiera ฯลฯ
นอกจากนี้ ยังมีงานขายของเก่า (Antiques Market) ซึ่งเป็นงานขายของที่เก่าแก่จัดเกือบตลอดทั้งปีบริเวณ Campo San Maurizio ทั้งนี้ เมื่อใกล้เทศกาลคริสมาสจะมีการขายของทั่วทั้ง เมืองได้แก่ งาน Christmas in the Lagoon จัดขายของในช่วงเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม ขายทั้งสิน ค้าอาหารและสินค้าของท้องถิ่นเช่น ผลิตภัณฑ์แก้ว เครื่องประดับแฟชั่น ภาพวาดงานศิลปะ หมวก ของแต่งบ้านและอื่นๆ งาน Christmas of glass จัดในเกาะมูราโน นอกจากการขายสินค้า เครื่องแก้วของเกาะแล้ว บนเกาะยังมีการแสดงที่น่าสนใจอื่นๆ อีก เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว และงานอื่นๆ อีกกว่า 25 งานเทศกาลต่างๆ เป็นการสร้างสีสัน และความคึกคักให้กับเมืองเวนิสเป็นอย่างดี
และสุดท้ายถ้ามาถึงเวนิสก็ต้องนึกถึงหน้ากาก ซึ่งมีจำหน่ายอยู่ทั่วเมืองเวนิส ซึ่งหน้ากากเหล่านี้ บ้างร้านก็เปิดโชว์วิธีการทำให้ดู ตั้งแต่ การทำแบบจนถึงลงสีและลวดลาย ราคาก็มีตามระดับคุณภาพ ตั้งแต่หน้ากาก mass product ราคาไม่กี่สิบยูโร จนถึงแบบ ต้นตำหรับ ราคาหลักร้อยยูโรเป็นต้นไป เพนต์หน้า เป็นอีกทางเลือกนึง สำหรับคนที่ไม่ชอบใส่หน้ากาก ธุรกิจเพนต์หน้าในช่วงคาร์นิวาล จะเฟื่องฟูมากมีแผงลอยมากกว่าสิบแผงให้เลือก เพนต์ ได้ตามอัธยาศัยด้วยค่ะ
งานเทศกาลของ เวนิส
แต่ปัจจุบัน งานคาร์นิวาล กลายเป็นธุรกิจการท่องเที่ยวอันดับหนึ่งของเวนิสไปแล้ว หน้ากากไม่ได้มีไว้เพื่อปกปิดตัวเองอีกต่อไป แต่เพื่อความสวยงาม ในสมัยก่อน หน้ากาก มักจะเป็นสีขาวธรรมดา แต่ปัจจุบัน หน้ากากมีหลายดีไซด์ หลากสี ลวดลายสารพัด ถ้าเป็นของผู้ชายก็จะออกเรียบๆ หน่อย ของผู้หญิงก็จะมีของตกแต่งเยอะกว่า และที่นี่นะคะ ยังได้ขึ้นชื่อในเรื่องของความโรแมนติกอีกด้วย สำหรับใครที่ต้องการมาท่องเที่ยว เราก็ขอแนะนำว่าเมืองเวนิสนี่ล่ะ ถ้ามาแล้วท่านจะต้องไม่เสียใจแน่นอน งั๊นอย่ามัวช้าเลยค่ะ รีบๆไปกันเลยยยย……
มีชีวิตกับการเดินทางตั้งแต่สมัยเรียน จนมาเป็นอาชีพมัคคุเทศก์ เดินทางนำเที่ยวต่างประเทศมาหลายประเทศ จนมาเป็นนักเขียนบทความท่องเที่ยว เป็นนักพัฒนา Web Application สำหรับการท่องเที่ยว ต่อเนื่องมาเป็นผู้ทำตลาดการท่องเที่ยว และเป็นผู้บริหารบริษัทธุรกิจการท่องเที่ยว
คุณต้องเข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น.