ไปตามหา ฟาโรห์ ที่อียิปต์
ทุกคนอาจมีความสงสัยว่า ฟาโรห์ (Pharaoh) ที่พูดถึงอยู่ เป็นใคร..? อยู่ที่ไหน..? มีชีวิตอยู่หรือเปล่า..? วันนี้เราจะพาทุกคนไปรู้จักกับ ฟาโรห์ ที่อียิปต์ (Pharaoh) ที่พูดเราพูดถึงอยู่นั้นว่าเขาคือใคร ก่อนอื่นเรามารู้จักกับประเทศที่ ฟาโรห์ (Pharaoh) อยู่กันก่อน นั้นก็คือ ประเทศอียิปต์ (Egypt) หรือ สาธารณรัฐอาหรับอียิปต์ (Arab Republic of Egypt) นั้นเอง
สาธารณรัฐอาหรับอียิปต์ (Arab Republic of Egypt) หรือที่เรียกโดยทั่วไปว่า อียิปต์ (Egypt) เป็นประเทศที่ตั้งอยู่ตอนเหนือ สุดทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือของทวีปแอฟริกา ทิศเหนือ ติดทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ทิศตะวันออกเฉียงเหนือติดอิสราเอลทิศตะวันออกติดทะเลแดง ทิศใต้ติดซูดานและทิศตะวันตกติดลิเบีย โดยมีกรุงไคโร(Cairo) เป็นเมืองหลวงปัจจุบัน อียิปต์ นับว่าเป็นประเทศที่มีความปลอดภัยมากที่สุดแห่งหนึ่งในโลก
ข้อแนะนำและพึงระวังในการเดินทางไปชม ฟาโรห์ ที่อียิปต์
การตัดสินใจในการเดินทางไปอียิปต์ใน ช่วงเวลาไหนเป็นเรื่องที่สำคัญ เพราะอากาศค่อนข้างแตกต่างกันมาก เช่น เดือนพฤศจิกายน ถึง ปลายกุมภาพันธ์อาจจะสบายที่สุดเพราะไม่ร้อน ต้องใส่เสื้อกันหนาวแม้จะมีแดดเปรี้ยง โดยเฉพาะตอนค่ำ หากไปอียิปต์หลังจากเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนพฤษภาคมก็จะดี เพราะถึงแม้อากาศจะเริ่มร้อนแล้ว แต่ก็พอทนได้ ส่วนช่วงเดือนกรกฎาคมถึงกันยายน จะมีบางวันที่จะออกข้างนอกได้เฉพาะช่วงเช้าหรือค่ำ เพราะในตอนกลางวันอากาศจะร้อนมากกว่า 40 องศาเซลเซียส แต่โดยทั่วไปอียิปต์เป็นประเทศที่ดินฟ้าอากาศกำลังสบาย อาจจะแห้งไปนิดหนึ่งสำหรับบางคน และฝุ่นจะมากไปหน่อย แต่เมื่อชินแล้วจะรู้สึกเป็นสิ่งธรรมดา
ข้อแนะนำ
* เมื่อถึงอียิปต์แล้ว ขอให้ถือหนังสือเดินทางติดตัวเสมอ เพราะจะต้องใช้ในกรณีไปลงทะเบียนที่โรงแรม แลกเงิน รับจดหมาย หรือถูกตำรวจสอบถาม เอกสารสำคัญ ๆ ขอให้ถ่ายสำเนาและแยกเก็บจากต้นฉบับ
ทีนี้เราก็พอรู้เกี่ยวกับข้อมูลคราวๆของอียิปต์กันพอสังเขปแล้ว ก็ถึงเวลาที่เราจะไปตามหา ฟาโรห์ โดยเริ่มจากที่แรกที่เราจะพาไปพบและทำความรู้จักกับ “ฟาโรห์” นั้นก็คือ หุบผากษัตริย์ (valley of the kings)
หุบผากษัตริย์ หรือ ภาษาอังกฤษ (valley of the kings) เป็นหุบที่เป็นหลุมศพของกษัตริย์และราชวงศ์ในราชอาณาจักรใหม่ (ตั้งแต่ราชวงศ์ที่ 18 ถึง 20 ของอียิปต์โบราณ) หุบเขาตั้งอยู่บนฝั่งตะวันตกของแม่น้ำไนล์ ฝั่งตรงข้ามกับเมืองธีปส์ (หรือ ลักซอร์ในปัจจุบัน) ตั้งอยู่ใจกลางของ ธีบันเนโครโปลิสบริเวณที่ อุดสมบูรณ์ในทะเลทรายนั้นประกอบด้วย 2 หุบเขาคือ หุบเขาตะวันออก(ที่เป็นที่ตั้งของสุสานเป็นส่วนใหญ่)และหุบเขาตะวันตก
ในช่วงระหว่างปี 2006 – 2008ได้มีการค้นพบห้อง (เควี 63) และ ทางเข้าสุสานเพิ่มอีก 2 แห่ง หุบเขานี้มีหลุมศพอยู่ 63 แห่งและร่วมถึงห้องที่มีหลายขนาดทั้งห้องเล็กๆไปจนถึงสุสานที่มีห้องซับซ้อนที่มีห้องมากกว่า 120 ห้อง และยังเป็นที่ฝังพระศพที่สำคัญของราชวงศ์ของอาณาจักรใหม่แห่งอียิปต์โบราณ รวมถึงยังมีสุสานของบุคคลสำคัญอีกหลายแห่งสุสานแห่งนี้ตกแต่งด้วยอักษรภาพของเทพเจ้าอียิปต์โบราณ หรือ “ฮีโรกริฟฟิค” (Hieroglyphs) และนอกจากนี้ยังมีข้อมูลความเชื่อเกี่ยวกับพิธีศพในช่วงเวลานั้น สุสานทั้งหมดดูเหมือนจะถูกเปิด และ มีการถูกโจรรกรรมวัตถุโบราณไปแล้วแต่ก็ยังคงหลงเหลือสิ่งที่ให้รู้ถึงความมั่งคั่งและอำนาจในการปกครองของกษัตริย์ในยุคนั้น
หุบผากษัตริย์แห่งนี้ ถือว่าเป็นการค้นพบด้านโบราณคดีที่สำคัญ หลังจากการค้นพบสุสานของฟาโรห์ตุตันคามุน (ซึ่งเป็นที่เลื่องลือด้านคำสาปฟาโรห์) และยังถือเป็นหนึ่งในสถานที่โบราณคดีที่โด่งดังที่สุดในโลก ในปี ค.ศ. 1979 ถูกยกให้เป็นมรดกโลก ร่วมกับส่วนที่เหลือของธีบันเนโครโพลิส การค้นพบ การขุดค้นหาวัตถุโบราณ และการอนุรักษ์ยังคงดำเนินการต่อไปและ ยังถือเป็นจุดศูนย์กลางการท่องเที่ยวในปัจจุบันที่ เปิดให้เข้าชม
ต่อมาเราจะเดินทางต่อกันไปยังสถานที่แห่งที่2 นั้นก็คือ พีระมิดกีซ่า (Giza Plateau)
พีระมิดถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ฝังพระศพของกษัตริย์ หรือ ฟาโรห์ในสมัยอียิปต์โบราณ ชาวอียิปต์ในสมัยนั้นเชื่อเรื่องชีวิตหลังความตาย ดังนั้นจึงต้องแน่ใจว่ากษัตริย์ของพวกเขาจะทรงมีทุกสิ่งทุกอย่างที่จำเป็นสำหรับโลกหน้า พวกเขาได้ฝังทรัพย์สินและสิ่งของส่วนพระองค์ไปพร้อมกัน สิ่งที่นักโบราณคดีค้นพบเป็นจำนวนมากในห้องเก็บสมบัติของปิรามิดได้แก่เพชรพลอย อาหาร เครื่องเรือน เครื่องดนตรี และอุปกรล่าสัตว์
มหาพีระมิดกีซ่า (Giza Plateau) ถือว่าเป็นหนึ่ง 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณ พีระมิดแห่งที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลก พีระมิดแห่ง “เมืองกีซ่า” ซึ่งเป็นที่บรรจุพระบรมศพของกษัตริย์คีออปส์ (CHEOPS) หรือ คูฟู ซึ่งพระองค์เป็นผู้สร้างขึ้นเองเมื่อก่อนคริสตกาลประมาณ 25,800 ปี นับอายุจนถึงปัจจุบันก็กว่า 4,500 ปี ถือเป็นพีระมิดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกตั้ง อยู่ที่กลางทะเลทราย พีระมิดแห่งนี้เดิมสูง 481.4 ฟุต แต่ปัจจุบันเหลือเพียง 450 ฟุต ฐานกว้าง 768 ฟุต ใช้หินทรายตัดเป็นแท่งรูปสามเหลี่ยมหนักประมาณก้อนละ2ตันครึ่ง บางก้อนหนักถึง 16 ตัน โดยการนำเอามาซ้อนกันขึ้นไปเป็น ทรงกรวย เชื่อกันว่าพีระมิดองค์นี้จะทนแดดทนฝนอยู่ได้อีกนานกว่า 5,000 ปี และเป็นสิ่งมหัศจรรย์ ของยุคโบราณสิ่งเดียวเท่านั้นที่มีอายุยืนยาวมาจนถึงปัจจุบัน
พีระมิดแห่งกีซ่าประกอบด้วย
1.พีระมิดคูฟู (Khufu) หรือ มหาพีระมิดแห่งกิซ่า (The Great Pyramid of Giza) ซึ่งเป็นหนึ่งเดียวในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลก ที่ยังคงเหลืออยู่ในปัจจุบัน มีขนาดใหญ่ที่สุดและเก่าแก่ที่สุดในหมู่พีระมิดแห่งกิซ่า
2.พีระมิดคาเฟร (Khafre) ตั้งอยู่ตรงกลางของพีระมิดทั้ง 3 และสร้างอยู่บนพื้นที่สูง ทำให้ดูเหมือนมีขนาดใหญ่ที่สุด และมีบางคนเข้าใจผิดว่าพีระมิดคาเฟรคือมหาพีระมิดแห่งกิซ่า ทางทิศตะวันออกของพีระมิดคาเฟรมี มหาสฟิงซ์ (The Great Sphinx of Giza) หินแกะสลักขนาดมหึมาที่มักปรากฏในภาพถ่ายคู่กับพีระมิดคาเฟร
3.พีระมิดเมนคูเร (Menkaure) ขนาดเล็กที่สุดและเก่าแก่น้อยที่สุดในหมู่พีระมิดแห่งกิซ่า จากตำแหน่งการก่อสร้างทำให้คาดได้ว่า เดิมอาจตั้งใจสร้างให้มีขนาดใกล้เคียงพีระมิดคูฟู และพีระมิดคาเฟรแต่ในที่สุดก็สร้างในขนาดที่เล็กกว่า พีระมิดเมนคูเรมักปรากฏในภาพถ่ายพร้อมกับหมู่พีระมิดราชินีทั้ง 3 (The Three Queen’s Pyramids)
การสร้างพีระมิดในยุคนั้นเกิดจาก แรงศรัทธาแลกกับอาหารและเสื้อผ้า สร้างโดยแรงงานมนุษย์กับเครื่องมือธรรมดาๆในการก่อสร้างเพียงไม่กี่ชนิดเท่านั้น ผู้ที่สร้างปิรามิดไม่ใช่พวกทาส แต่เป็นช่างฝีมือและชาวนาที่อยู่ว่างในระหว่างที่น้ำจากแม่น้ำไนล์ท่วมพื้นที่ทำการเกษตรของตน แม้ว่าประชาชนนับพันๆคนที่มาช่วยสร้างปิรามิดจะทำงานเพื่อแลกกับอาหารและเสื้อผ้า แต่ทุกคนก็ต้องการมีส่วนร่วมในการสร้างที่ฝังพระศพของกษัตริย์ที่พวกเขานับถือเป็นเทพเจ้า
เราจะสังเกตได้ว่าในบริเวรรอบๆพีระมิดจะมีรูปปั้นหน้าตาแปลกๆคือมีหน้าตาเป็นคนแต่ลำตัวเป็นสิงโต นั้นก็คือ สฟิงซ์ (Sphinx)ชาวอียีปต์โบราณเชื่อ ว่า สฟิงซ์มีอำนาจขจัดวิญญาณชั่วร้ายให้พ้นจากหลุมศพ
• สฟิงซ์อียิปต์ เป็นการผสมกันระหว่างมนุษย์กับสิงโต ส่วนหัวที่เหมือนมนุษย์นั้น มีสัญลักษณ์ของฟาโรห์อียิปต์แสดงไว้คือมีเคราที่คาง ตรงหน้าผากมีงูแผ่แม่เบี้ยและมีเครื่องประดับ รัดเกล้าแบบกษัตริย์แตกต่าง จาก สฟิงซ์ของชาวกรีกซึ่งจะมีใบหน้าและทรวงอกของหญิงสาว ท่อนล่างเป็นสิงโตและมีปีกแบบนกอินทรีรูปสลักสฟิงซ์ของอียิปต์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคือ มหาสฟิงซ์ (The Great Sphinx of Giza) บริเวณใกล้กับ พีระมิดคาเฟร ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ หมู่พีระมิดแห่งกิซ่า (Giza Pyramid Complex)
• หน้าที่ของสฟิงซ์ สฟิงซ์เปรียบเสมือนเป็นตัวแทนของกษัตริย์ หรือเป็นสัตว์ที่มีชาญฉลาดและมีพลังเพื่อปกป้องพระ ศพและทรัพย์สมบัติภายในพีรามิด
สฟิงซ์ยักษ์แห่งกีซ่า ถือเป็นสฟิงซ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก แกะสลักจากหินก้อนขนาดมหึมาเพียงก้อนเดียว โดยมีความยาวของลำตัวที่ 73.5 เมตร สูง 21 เมตรใบหน้ามีความยาว 5 เมตร จมูกยาว 2 เมตร ส่วนเคราไม่สามารถระบุตัวเลขของขนาดได้ ปัจจุบันนี้เคราและจมูกของสฟิงซ์ยักษ์ตัวนี้ ถูกแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์ BRITISH MUSEUM กรุงลอนดอน ส่วนลำตัวของสฟิงซ์ มีรอยผุกร่อนอย่างชัดเจนทั้งจากสภาพภูมิอากาศอันเลวร้ายในทะเลทรายและพายุทรายพัดกระหน่ำทับถมอยู่เป็นประจำ และเนื่องจากถูกแม่น้ำไนล์ ซึ่งเป็นฤดูน้ำหลากในอดีตท่วมมาถึงครึ่งตัว กัดกร่อนให้บริเวณฐานเสียหายและเหลือร่องรอยการแช่น้ำ ทำให้ปัจจุบันนี้สฟิงซ์ยักษ์อยู่ในสภาพที่ไม่สมบูรณ์เท่าไรนัก แต่ก็สามารถมองภาพความยิ่งใหญ่ในอดีตได้จากสิ่งที่ยังเหลืออยู่
ที่นี้ทุกคนคงรู้แล้วใช่มั้ยว่า ฟาโรห์ที่เราพูดถึงเขานั้นคือใคร หน้าตาเป็นยังไง และ อาศัยอยู่ที่ไหน รวมถึงประวัติต่างๆ ที่ฟาโรห์ในสมัยก่อนนั้นได้ทำไว้ นอกเหนือจากการปกครองอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ แต่ยังได้สร้างสิ่งที่หน้าอัศจรรย์เหลือทิ้งไว้ให้เราได้เห็นถึงความรุ่งเรืองและความยิ่งใหญ่ของอำนาจที่มีในยุคสมัยนั้น ซึ่งได้ผ่านมานับพันปี………..
มีชีวิตกับการเดินทางตั้งแต่สมัยเรียน จนมาเป็นอาชีพมัคคุเทศก์ เดินทางนำเที่ยวต่างประเทศมาหลายประเทศ จนมาเป็นนักเขียนบทความท่องเที่ยว เป็นนักพัฒนา Web Application สำหรับการท่องเที่ยว ต่อเนื่องมาเป็นผู้ทำตลาดการท่องเที่ยว และเป็นผู้บริหารบริษัทธุรกิจการท่องเที่ยว
คุณต้องเข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น.