ว่าด้วยว่า พระราชวังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก พระราชวังทุกแห่งนั้น คือผลงานศิลปะที่แสดงออกถึงสิ่งก่อสร้าง รวมถึงสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้องทั้งภายในและภายนอกสิ่งปลูกสร้างนั้น ที่มาจากการออกแบบของมนุษย์ ด้วยศาสตร์ทางด้านศิลปะ การจัดวางที่ว่าง ทัศนศิลป์ และวิศวกรรมการก่อสร้าง เพื่อประโยชน์ใช้สอย รวมเป็นสื่อความคิด และสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมของสังคมในยุคนั้นสมัยนั้นๆด้วย ซึ่งครั้งนี้เราได้นำห้าพระราชวังที่มีความยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก มาแนะนำให้กับผู้ที่ชอบท่องเที่ยวและผู้ที่สนใจได้ศึกษาก่อนออกเดินทาง เป็นสถาปัตยกรรมกับการท่องเที่ยว ดังนั้นเรามาทำความรู้จักกับพระราชวังทั้งห้ากันเลย โดยเริ่มจาก…
พระราชวังต้องห้าม หรือ พระราชวังกู้กง พระราชวังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก
ประเทศจีน
พระราชวังต้องห้าม (The Forbidden City) ภาษาจีนเรียกว่า กู้กง หรือจื่อจิ้นเฉิง เริ่มสร้างในรัชสมัยของจักรพรรดิ หย่งเล่อ ราชวงศ์หมิง ( ปีค.ศ. 1406 – 1420 ) โดยใช้เวลาก่อสร้างอยู่เกือบ 14 ปีกว่าจะแล้วเสร็จ ซึ่งเป็นพระราชวังที่พำนักและว่าราชการของจักรพรรดิ 24 พระองค์ของราชวงศ์ หมิง และราชวงศ์ ชิง ตั้งอยู่ใจกลางเมืองกรุงปักกิ่ง ปัจจุบันได้ถูกจัดให้เป็นพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงโบราณวัตถุและงานศิลปะที่ทรงคุณค่าของจีน ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม ของ UNESCO มีเนื้อที่รวม 720,000 ตารางเมตร มีเนื้อที่ ๆ เป็นพระที่นั่งและสิ่งปลูกสร้าง 150,000 ตารางเมตร ห้องต่าง ๆ 9,999 ห้อง เป็นกลุ่มพระที่นั่งโบราณที่ใหญ่และสมบูรณ์ที่สุดของโลก รอบ ๆ พระราชวังมีกำแพงสูง 10 เมตร ล้อมรอบและมีคูน้ำล้อมรอบกำแพงอีกชั้นหนึ่ง
พระราชวังแวร์ซาย พระราชวังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก
ประเทศฝรั่งเศส
พระราชวังแวร์ซายส์ (Versaills Palace) เป็นพระราชวังหลวงแห่งหนึ่งของประเทศฝรั่งเศส ตั้งอยู่ที่เมืองแวร์ซายส์ อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของกรุงปารีส ซึ่งปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของมหานครปารีส เดิม พระเจ้าหลุยส์ที่ 13 ยังทรงพระเยาว์ ขณะพระชนมายุได้ 23 พระชันษา ทรงนิยมล่าสัตว์ในป่า และทรงเห็นว่าตำบลแวร์ซายส์น่าจะเหมาะแก่การประทับเพื่อล่าสัตว์ จึงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระตำหนักขึ้นมาใน พ.ศ. 2167 โดยในช่วงแรกเป็นเพียงกระท่อมเล็กๆ สำหรับพักชั่วคราวเท่านั้น ต่อมาพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศส ขึ้นครองบัลลังก์ มีประสงค์ที่จะสร้างพระราชวังแห่งใหม่ เพื่อเป็นศูนย์กลางในการปกครองของพระองค์ จึงเริ่มปรับปรุงพระตำหนักเดิมในปี พ.ศ. 2204 ใช้เงินทั้งหมด 500,000,000 ฟรังก์ คนงาน 30,000 คน และใช้เวลาอยู่ถึง 30 ปีจึงแล้วเสร็จในพ.ศ. 2231 ปัจจุบันพระราชวังแวร์ซายส์ ได้กลายมาเป็นพิพิธภัณฑ์และเปิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแก่ผู้สนใจเข้าเยี่ยมชมความสวยงาม และได้รับจดทะเบียนให้เป็นมรดกโลกในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญครั้งที่ 3 เมื่อปี พ.ศ. 2522 ที่ประเทศอียิปต์
พระราชวังบัคกิ้งแฮม พระราชวังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก
ประเทศอังกฤษ
พระราชวังบักกิงแฮม (Buckingham Palace) ตั้งอยู่ในเมืองเวสต์มินสเตอร์ เป็นพระราชฐานอย่างเป็นทางการของราชวงศ์อังกฤษนับตั้งแต่ ค.ศ. 1837 และเป็นศูนย์กลางของระบบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญของอังกฤษ ในกำแพงของพระราชวังนี้มีการตราพระราชกฤษฎีกา จัดงานสมาคมอันหรูหราและงานเลี้ยงต้อนรับบุคคลสำคัญจากต่างประเทศมานับครั้งไม่ถ้วน พระราชวังนี้เดิมก่อสร้างขึ้นเป็นคฤหาสน์บักกิงแฮมของดยุคแห่งบักกิงแฮมในปี ค.ศ. 1705 มีห้องมากกว่า 700 ห้อง และมีการต่อเติมออกไปอีกในช่วงหลายร้อยปีที่ผ่านมา ในเดือนสิงหาคมถึงกันยายน เมื่อสมเด็จพระราชินีนาถอลิซาเบธที่ 2 เสด็จแปรพระราชฐานในสก็อตแลนด์ ห้องพิธีอันวิจิตรงดงาม 19 ห้องจะเปิดให้เข้าชมได้ ในห้องเหล่านี้มีผลงานศิลปะจำนวนมากจากคอลเล็กชันของพระราชวงศ์ ในการเข้าชมจะต้องเสียค่าธรรมเนียม ซึ่งจะรวมการนำชมพร้อมเสียงบรรยาย และจะต้องมีการจองล่วงหน้าทางเว็บไซต์ของพระราชวังบักกิงแฮม เมื่อใดก็ตามที่มีธงประจำพระองค์อยู่เหนือพระราชวัง แสดงว่าสมเด็จพระราชินีนาถทรงประทับอยู่ ในปัจจุบันนี่คือสถานที่ซึ่งมีผู้เยี่ยมชมมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
พระราชวังเครมลิน
ประเทศรัสเซีย
พระราชวังเครมลิน (Kremlim Palace) ตั้งอยู่ที่กรุงมอสโก สร้างอยู่บนเนินเขาริมฝั่งแม่น้ำมอสควา สถาปัตยกรรมของกรุงมอสโกนั้น ถือได้ว่าเป็นตัวอย่างที่ดีเลิศที่สุดในยุโรปยุคกลาง คำว่า “เครมลิน” มีความหมายว่า ป้อมปราการ มีความยาวล้อมรอบ 2,235 เมตร ซึ่งในอดีต เป็นที่ประทับของพระเจ้าซาร์กษัตริย์แห่งราชวงศ์รัสเซีย แต่ได้ถูกปฏิวัติเป็นคอมมิวนิสต์ และได้ใช้เป็นที่ทำการรัฐบาลเครมลิน เป็นชื่อ ของนักการเมือง พอระบบสังคมนิยม ล่มสลายเป็นประชาธิปไตย มีหอคอย 18 แห่ง โดยมีการปรับปรุงต่อเติมมาเรื่อยๆ เริ่มจากใช้อิฐสีขาวเป็นรอบรั้วกั้นกำแพงแต่ในปัจจุบัน ได้เปลี่ยนมาเป็นอิฐสีแดง ซึ่งความสูงของหอคอยแตกต่างกันระหว่าง 28-71 เมตร ไม่ไกลมีมหาวิหารอัครเทวทูตซึ่งมีที่ตกแต่งไว้อย่างงดงาม เพื่อใช้เป็นสุสานฝังพระศพของพระเจ้าซาร์ทุกพระองค์ นอกจากนี้ยังมีโบสถ์อัสสัมชัญซึ่งสร้างไว้อย่างประณีตบรรจงเป็นพิเศษ ปัจจุบันได้เปิดเป็นแหล่งท่องเที่ยวให้นักท่องเที่ยวได้เข้าชมกัน
ไวท์เฮาส์ หรือ ทำเนียบขาว
ประเทศสหรัฐอเมริกา
ไวท์ เฮาส์ (White House) ตั้งอยู่ที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ออกแบบโดยสถาปนิกชื่อ เจมส์ โฮบัน ในรูปแบบนีโอคลาสสิก ใช้เวลาก่อสร้างตั้งแต่ปี 1792-1800 และการสร้างเพิ่มเติมอาคารใหม่ยังเกิดขึ้นอีกหลายครั้ง ในสมัยของประธานาธิบดีหลายคน กว่าที่จะเป็นอย่างที่เห็นในทุกวันนี้ ซึ่งประกอบไปด้วยหลายอาคาร ได้แก่
😀 อาคารหลัก เรียกว่า Executive Residence เป็นอาคารสีขาวตั้งเด่นอยู่ตรงกลาง มี 4 ชั้นรวมชั้นใต้ดิน ส่วนใหญ่เป็นห้องรับรองต่างๆและที่พักของครอบครัวประธานาธิบดี
🙄 อาคารเวสต์วิง (West Wing) เป็นที่ตั้งของห้องทำงานรูปไข่ สำหรับประธานาธิบดี รู้จักกันดีในชื่อว่า Oval Office อาคารนี้ถือเป็น หัวใจของทำเนียบขาวก็ว่าได้
😆 อาคารอีสต์วิง (East Wing) เป็นอาคาร 2 ชั้น ส่วนใหญ่เป็นห้องทำงาน ทั้งห้อง ทำงานของสตรีหมายเลข 1 บนชั้น 2 และเจ้าหน้าที่ต่างๆที่ช่วยงานของท่าน โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับงานประชาสัมพันธ์และงานสังคมอื่นๆ
😎 ห้องรูสเวลต์ (Roosevelt Room) เป็นทั้งห้องทำงานและห้องประชุม ประธานาธิบดีจะใช้ห้องนี้ทำงานสลับกับห้องทำงานรูปไข่ และห้องประชุมคณะรัฐมนตรี ทั้งสามห้องนี้จะอยู่ใกล้ๆกัน ห้องติดตามสถานการณ์ (White House Situation Room) อยู่ชั้นล่างสุด สิ่งก่อสร้างทั้งหมดที่กล่าวมาแล้วนั้น ตั้งอยู่ในอาณาบริเวณประมาณ 130 ไร่ พื้นที่ส่วนใหญ่ทั้งทางทิศเหนือและทิศใต้ของไวท์ เฮาส์ จะเป็นสนามหญ้าและสวนดอกไม้ ซึ่งดูแลโดยกรมอุทยานแห่งชาติ
มีชีวิตกับการเดินทางตั้งแต่สมัยเรียน จนมาเป็นอาชีพมัคคุเทศก์ เดินทางนำเที่ยวต่างประเทศมาหลายประเทศ จนมาเป็นนักเขียนบทความท่องเที่ยว เป็นนักพัฒนา Web Application สำหรับการท่องเที่ยว ต่อเนื่องมาเป็นผู้ทำตลาดการท่องเที่ยว และเป็นผู้บริหารบริษัทธุรกิจการท่องเที่ยว
คุณต้องเข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น.