เที่ยวลาว ประเทศเพื่อนบ้าน ที่มีเสนห์ของวัฒนธรรมที่คล้ายคลึงกับประเทศไทย ทั้งทางด้านขนบธรรมเนียม ภาษา อาหารการกิน ที่ทำให้การท่องเที่ยว หรือการเดินทาง ถือว่าง่ายที่สุดในโลกสำหรับคนไทยก็ว่าได้
ซำบายดี : สวัสดี สำเนียงแบบนี้ ไม่ต้องเดาเลยว่าภาษาอะไร สวัสดีอีกครั้งคะ วันนี้เราจะพาไปเที่ยวประเทศใกล้ๆบ้านเรากัน นั้นก็คือ ประเทศลาว หรือ สปป.ลาว นั้นเอง ถ้าพูดประเทศลาวแล้วทุกคนคงเคยดูโฆษณา กาแฟดาวกันใช่มั้ยคะ?? ที่เรามักจะได้ยินติดหูว่า เอิ้นดาวกะได๋ นั้นแหละคะ เราจะพาทุกท่านไปเที่ยวบ้านของดาวกัน พร้อมแล้ว พวกเฮากะฟ้าวไป๊โล้ด (พร้อมแล้วพวกเราก็รีบไปกันเถอะ)…..
เรามาดูบ้านเมืองของน้องดาวกันว่าบ้านเมืองของน้องดาวมีบ่อนท่องเที่ยว (สถานที่ท่องเที่ยว) ที่ไหนหน้าไปกันบ้าง….??
เริ่มกันที่สถานที่ท่องเที่ยวที่แรกกันเลย…..นั้นก็คือ คือ ?? 💡 💡 💡 ➡
เที่ยวลาว ชมประตูชัย เวียงจันทน์
ประตูชัย เป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่ถือว่า เป็นแลนด์มาร์คของประเทศลาวอีกที่หนึ่ง พูดถึงประตูชัยแล้วทำให้คิดถึงประตูชัยของประเทศฝรั่งเศสขึ้นมาเลย นั้นแหละคะเราก็คิดว่าไม่ต้องไปไกลถึงยุโรป ก็ได้เห็นประตูชัยแล้ว แต่มันอาจจะคนละอารมณ์กัน แต่ความสวยงามก็ถือว่าไม่ได้แพ้กันเลยนะคะ
ประตูชัยแห่งนี้สร้างเสร็จในปี พ.ศ. 2512 ครับ เรียกได้ว่าความเป็นมาของสถานที่แห่งนี้ยาวนานมากๆเลยครับ ก็อย่างที่บอกว่าสร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์สถาน ประตูชัยนี้มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “รันเวย์ แนวตั้ง” นั่นก็เพราะว่า การก่อสร้างประตูชัยแห่งนี้นั้น ใช้ปูนที่อเมริกาซื้อมาเพื่อนำมาสร้างสนามบินใหม่ในนครเวียงจันทน์ในระหว่าง สงครามอินโดจีนนั่นเอง แต่ก็ไม่ทันได้สร้างเลยก็เกิดแพ้สงครามในอินโดจีนเสียก่อน จึงมีการนำปูนซีเมนต์มาสร้างประตูชัยแทน
ความสวยงามของประตูชัยนั้นมีอยู่ที่ลักษณะสถาปัตยกรรมที่ได้รับอิทธิพลมาจากประตูชัยในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส นั่นเอง ถ้าเปรียบเทียบกันดูจะเห็นว่ามีส่วนที่คล้ายคลึงกันมาก แต่ลักษณะสถาปัตยกรรมนั้นก็ยังมีเอกลักษณ์แบบของลาวปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นพระพุทธรูปศิลปะลาว ภาพเรื่องราวมหากาพย์รามายณะ แบบปูนปั้นใต้ซุ้มประตูโค้งของประตูชัย บันไดวนให้ขึ้นไปชมทิวทัศน์ของนครเวียงจันทน์ และถ้าเพื่อนๆเดินขึ้นไป ตลอดบันไดวนของประตูชัยจะแบ่งออกเป็นชั้นๆ ซึ่งแต่ละชั้นนั้นก็จะมีร้านจำหน่ายของที่ระลึก เปิดให้นักท่องเที่ยวได้ขึ้นชมวิวทิวทัศน์ทุกวัน และในตอนเย็นจะมีประชาชนชาวลาว มาออกกำลังกายหรือทำกิจกรรมร่วมกันที่นี่ด้วย
เรียกได้ว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีความเป็นมายาวนานและนักเดินทางอย่างเราก็ไม่ควรพลาด สำหรับการเข้าชมประตูชัยแห่งนี้นั้นต้องเสียค่าธรรมเนียม
ข้อแนะนำ: อัตราแลกเปลี่ยนประมาณ 240-270 กีบ ต่อ 1 บาท
เวลาเปิดให้เข้าชม ตั้งแต่เวลา 08.00 – 17.00 น.
พระธาตุหลวง
พระธาตุหลวง ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของประตูชัย พระธาตุหลวงแห่งนี้ถือเป็นศาสนสถานที่สำคัญที่สุดของประเทศลาว เป็นสัญญาลักษณ์ประจำชาติและยังแทนความเป็นเอกราชและอำนาจอธิปไตยของประเทศลาวอีกด้วย พระธาตุหลวงสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 16 พระธาตุองค์นี้มีรูปทรงที่ไม่เหมือนกับองค์อื่นๆ เพราะเป็นการผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมในพระพุทธศาสนากับสถาปัตยกรรมของอาณาจักร
ประธาตุหลวงมีตำนานตามเล่ากันมาว่า พระธาตุองค์นี้ได้สร้างในสมัยพุทธศักราชที่ 236 โดยมีพระภิกษุลาวจำนวน 5 รูปเดินทางไปศึกษาพระพุทธศาสนาในประเทศอินเดีย และได้อันเชิญพระอุรังคธาตุของพระพุทธเจ้ามายังนครเวียงจันทน์ด้วย ต่อมาด้ำกราบทูลพระยาจันทบุรีประสิทธิ์ศักดิ์ เจ้านครเวียงจันทน์ในสมัยนั้น ให้สร้างพระธาตุหลวงขึ้นเพื่อเป็นที่ประดิษฐานพระบรมธาตุเพื่อให้ชาวลาวได้กราบไหว้ กล่าวไว้ว่า พระธาตุองค์เดิมนั้นสร้างด้วยหินเป็นทรงโอคว่ำ มีการก่อกำแพงล้อมรอบเอาไว้ทั้ง 4 ด้าน แต่ละด้านมีความกว้าง 10 เมตร หนา 4 เมตร และสูง 9 เมตร เชื่อกันว่าพระธาตุที่เห็นในปัจจุบันสร้างครอบองค์เดิม ซึ่งต่อมาสมเด็จพระไชยเชษฐาธิราชได้โปรดเกล้าฯ ให้ย้ายเมืองหลวงของราชอาณาจักรล้านช้างจากหลวงพระบางมาอยู่ที่เวียงจันทน์ ตามดำริของพระราชบิดา คือพระเจ้าโพธิสาร จากนั้นทรงมีพระบัญชา ให้ทรงสร้างพระเจดีย์องค์ใหม่ครอบพระธาตุองค์เดิมไว้ ณ บริเวณที่เคยเป็นเทวสถานเก่าของขอมโดยเริ่มก่อสร้างในปี พ.ศ.2109 และหลังจากสร้างพระธาตุหลวงได้โปรดฯ ให้สร้างวัดขึ้นล้อมรอบพระธาตุไว้ทั้งสี่ทิศด้วย แต่ปัจจุบันเหลืออยู่เพียงสองแห่งด้วยกันคือ วัดพระธาตุหลวงเหนือและวัดพระธาตุหลวงใต้
ในปัจจุบัน พระธาตุหลวงมีลักษณะคล้ายป้อมปราการ เพราะมีการสร้างระเบียงสูงใหญ่ขึ้นโอบล้อมรอบองค์พระธาตุไว้ พร้อมกับทำช่องหน้าต่างเล็กๆเอาไว้โดยตลอด สำหรับประตูทางเข้านั้นเป็นประตูไม้บานใหญ่ ลงรักสีแดงไว้ทั้งหมด นอกจากนี้รอบๆองค์พระธาตุใหญ่ยังมีเจดีย์บริวารล้อมรอบอยู่โดยรอบอีหลายองค์ เมื่อเดินเข้าไปดูใกล้ๆ ก็จะเห็นสัญลักษณ์หนึ่งแสดงถึงความศักดิ์สิทธิ์ของพระพุทธศาสนาแห่งนี้ปรากฏอยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็นรูปแกะสลักพญานาค พระพุทธรูปปิดทองลายกลีบบัวประดับอยู่บนฐานปักษ์ และถัดจากประตูทางเข้าใหญ่ประมาณ 100 เมตรจะแลเห็นพระบรมรูปสมเด็จพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช ตั้งอยู่บนฐานสูง พระหัตถ์ทรงถือพระแสงดาบวางพาดไว้บนพระเพลา เล่ากันว่า พระแสงดาบเล่มนี้ทำหน้าที่ปกป้องพระธาตุหลวงซึ่งได้ถือว่าเป็นศูนย์รวมจิตใจของประชาชนชาวลาวทุกคน
ข้อแนะนำ: ค่าเข้าชม คนละ 5,000 กีบ
เปิดเวลาเข้าชม ตั้งแต่เวลา 08.00 – 17.00 น.
พระธาตุดำ หรือ (ทาดดำ) เวียงจันทน์
พระธาตุดำ หรือ (ทาดดำ) ตั้งอยู่กลางวงเวียน ใกล้กับสถานทูตอเมริกา (หลวงพระบาง เก่า) ไม่ปรากฏหลักฐานเวลาก่อสร้างที่แน่ชัด คาดว่าสร้างในสมัยล้านนาหรือล้านช้างตอนต้น เดิมองค์พระธาตุถูกหุ้มด้วยทอง แต่ถูกลอกออกในสมัยสยามเข้ามายึดเวียงจันทน์ ชาวบ้านจึงเรียกกันว่า ธาตุดำ มีตำนานเล่าว่า บริเวณองค์พระธาตุ หลวงพระบาง เป็นทางเข้าออกเมืองบาดาลที่พญานาค 7 เศียร มาช่วยเหลือชาวเมืองในสมัยสยามยกทัพมาตีเมืองหลวงพระบาง
เที่ยวลาว ที่ วัดศรีเมือง หรือ วัดแห่งโชคลาภ
วัดศรีเมือง หรือที่นักแสวงโชคยกให้เป็นวัดแห่งโชคลาภ เป็นสถานที่ตั้งของเสาหลัก เมืองประจำนครเวียงจันทน์นั่นเอง สำหรับสถานที่แห่งนี้ถ้าไม่รวมนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาสักการะบูชา ประชาชนชาวลาวเองต่างก็เดินทางไปสักการบูชาเป็นจำนวนไม่น้อยเลย วัดศรีเมืองสร้างขึ้นในปีพ.ศ.2106 และต่อมาถูกกองทัพสยามทำลายลงในปีพ.ศ.2371 ก็ได้มีการสร้างวัดศรีเมืองขึ้นมาใหม่ในปี พ.ศ.2458 ภายในวัดศรีเมืองนั้นมีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่มากมาย โดยเฉพาะพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์และความเก่าแก่ พระพุทธรูปองค์นี้ได้ชำรุดไปบางส่วน ซึ่งชาวลาวนั้นเชื่อกันว่าพระพุทธรูปองค์นี้ศักดิ์สิทธิ์เป็นอย่างมาก สำหรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเยือนที่นี้นั้นจะเห็นว่าบริเวณประตูทางเข้าวัด นั้นจะมีเต้นส์ที่พระคุณเจ้า จัดตั้งไว้เพื่อจัดวางอุปกรณ์ สิ่งที่จะนำไปกราบไหว้พระที่อยู่ภายในพระอุโบสถของวัดสีเมืองนั้น เรียกว่า ต้นเทียน จะมีลักษณะเป็นแผ่นขี้ผึ้งบาง ๆ ทำเป็นดอกเหมือนดอกไม้ แต่ใช่เทียนไขปั้มใส่แบบ แกะออกมาเป็นดอก ๆ จากนั้นนำใส่ด้ามไม้ นำไปประดับที่ต้นกล้วยขนาดเล็กใหญ่ต่างกันไป ที่โคนต้นใส่ลงในกระป๋อง เพื่อเป็นฐานสำหรับวางตั้งไว้นั่นเอง สำหรับผู้ที่ชอบการแสวงโชค เราก็ขอแนะนำ หรืออาจไปสัการะเพื่อเป็นศิริมงคลต่อชีวิตก็ได้ ถ้าอยากรู้ว่าศักดิ์สิทธิ์หรือไม่ คุณต้องลองดู
ไปเที่ยวลาว ต้องชมหอพระแก้ว
หอพระแก้ว คือ สถานที่เคยประดิษฐาน พระแก้วมรกต หรือ พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร ตั้งอยู่ที่นครหลวงเวียงจันทน์ ประเทศลาว ปัจจุบันเหลือเพียงพระแท่นที่ประดิษฐาน เพราะพระแก้วมรกตองค์ปัจจุบันได้รับการอัญเชิญลงมาประทับที่กรุงเทพมหานครในสมัยของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี โดยสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก เป็นผู้อัญเชิญ
สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2108 เพื่อใช้เป็นที่ประดิษฐานพระแก้วมรกตที่ได้อัญเชิญมาจากนครเชียงใหม่ อาณาจักรล้านนา เมื่อปี พ.ศ. 2322 นครเวียงจันทน์ถูกกองทัพสยามตีแตก กองทัพสยามได้อัญเชิญพระแก้วมรกตพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองของนครเวียงจันทน์ไป พร้อมทั้งกวาดต้อนราชวงศ์ชาวลาวกลับไปยังกรุงเทพฯมากมาย สำหรับหอพระแก้วที่นักท่องเที่ยวเห็นอยู่ในปัจจุบันเป็นของที่ถูกบูรณะขึ้นใหม่เกือบทั้งหมดในปี พ.ศ. 2480 – 2483
ต่อมาเราจะพาไปยังสถานที่ต่อไปซึ่งอยู่ไม่ไกลจากหลวงพระบางมากนักแถมยังสวยงามมากๆอีกด้วย.. 🙂 🙂 🙂 ➡
เที่ยว น้ำตกกวางสี ที่หลวงพระบาง
น้ำตกกวางสี เป็นน้ำตกหินปูน ที่สูงราวๆ 70 เมตรมีสองชั้นอยู่กลางสภาพป่าที่ร่มรื่น มีสะพานและเส้นทางที่สามารถเดินชมรอบๆน้ำตก และยังลัดเลาะไปยังข้างน้ำตกเพื่อ ชมน้ำตกชั้นบนและยังสามมารถเล่นน้ำบริเวณลำธารได้ นอกจากจะชื่นชมความงามของน้ำตกแล้ว ยังหาซื้อของที่ระลึกที่ทางเข้าน้ำตก ซึ่งเป็นสินค้าพื้นเมืองที่ทำจากไม่ไผ่หรือไม้ที่แกะสลักเป็นของใช้หลายชนิด นอกจากนี้ยังมีร้านอาหารตามสั่งให้บริการอยู่หลายร้านค่อยให้บริการสำหรับคนที่ต้องการเติมพลัง น้ำตกกวางสีนั้นมีน้ำให้ได้ชมความสวยงามตลอดปี ในฤดูร้อนน้ำจะค่อนข้างน้อยกว่าปกติ น้ำตกกลางสีนั้นจะมีเส้นทางลำธารน้ำไหลผ่าน เป็นน้ำตกย่อยๆหลายจุด ซึ่งสวยงามและเหมาะที่จะลงเล่นน้ำได้ สำหรับท่านใดที่ชอบการเที่ยวแบบธรรมชาติ รับรองคะที่น้ำตกกวางสีคุณมาจะไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน
ข้อแนะนำ: ค่าเข้าชม คนละ 10,000 กีบ (ประมาณ 40 บาท)
เปิดเวลาเข้าชม ตั้งแต่เวลา 06.00 – 17.30 น.
เป็นจั๋งได๋หน้อสำหรับสถานที่ท่องเที่ยวของบ้านเมืองของน้องดาวที่เรายกตัวอย่างมาให้ชมกัน นี้แค่เรียกน้ำย่อยนะคะยังสวยขนาดนี้ งั้นเรามาดูสถานที่ ต่อๆไปกันเลยดีกว่า.. 😆 😆 😀 😉
เที่ยวลาว กับ วัดเชียงทอง ที่งดงามที่สุดของ สปป.ลาว
เที่ยวลาว ณ หลวงพระบาง ที่รอคอย
ไฮไลท์ของการมาเยือนเมืองหลวงพระบางแห่งนี้คงหนีไม่พ้นการได้มาเที่ยวชม “วัดเชียงทอง” ซึ่งเป็นวัดที่สำคัญและมีความงดงามที่สุดแห่งหนึ่ง จนได้รับการยกย่องจากนักโบราณคดีว่าเป็น ดั่งอัญมณีแห่งสถาปัตยกรรมลาว วัดเชียงทองถูกสร้างขึ้นในรัชสมัยพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช หลังจากสร้างวัดนี้ได้ไม่นานพระองค์ก็ทรงย้ายเมืองหลวงไปยังนครเวียงจันทน์
เมื่อเดินทางมาถึงที่วัดเชียงทองแห่งนี้สิ่งแรกที่เราไม่ควรพลาด ก็คือการไปชมพระอุโบสถหรือ ที่ภาษาลาวเรียกว่า “สิม” แม้ขนาดจะดูไม่ได้ใหญ่โตแต่ก็แสดงถึงสถาปัตยกรรมทางศาสนาแบบหลวงพระบางแท้ๆ ด้วยหลังคาพระอุโบสถที่แอ่นโค้งซ้อนกันอยู่ 3 ชั้น ลดหลั่นเกือบจรดฐานจนแลดูค่อนข้างเตี้ย ส่วนกลางของหลังคามีเครื่องยอดสีทองซึ่งชาวลาวจะเรียกว่า “ช่อฟ้า” ประกอบด้วย 17 ช่อ “สิม” (หรืออุโบสถ) ที่พระมหากษัตริย์ทรงสร้างขึ้น ส่วน “สิม” ที่คนสามัญสร้างจะมีช่อฟ้าเพียง 1-7 ช่อเท่านั้น เชื่อกันว่าบริเวณช่องสี่เหลี่ยมเล็กๆ ตรงกลางของช่อฟ้าเคยใช้เป็นที่เก็บของมีค่า ปัจจุบันเหลือเพียงช่องว่างเปล่าๆ ถัดมาที่ส่วนของหน้าบันมี “โหง่” รูปร่างคล้ายเศียรนาคเป็นส่วนประดับตามคติธรรมทางพุทธศาสนาเมื่อเดินเข้าต่อมาที่ประตูพระอุโบสถจะสะดุดตากับลวดลายแกะสลักอันสวยงามเช่นเดียวกับที่หน้าต่าง
ผนังภายในก็มีสวยงามด้วยลวดลายปิดทองฉลุบนพื้นรักสีดำ เล่าเรื่องพุทธประวัติพระสุธน-มโนราห์ ทศชาติชาดกและภาพนิทานเพื่อนบ้าน ลึกเข้าไปคือพระประธานซึ่งมีชื่อว่า “พระองค์หลวง” นอกจากพระอุโบสถที่โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมแบบล้านช้างแล้ว การตกแต่งลวดลายตามผนังภายในก็สวยงามไม่แพ้กัน อย่างเช่นบริเวณช่วงผนังทางด้านหลังของพระอุโบสถก็มีการตบแต่งด้วยการนำกระจกสีมาตัดต่อกันเป็นรูปต้นโพธิ์ขนาดใหญ่ ด้านข้างก็ติดเป็นรูปสัตว์ในวรรคดี ทำให้เวลาที่แสงแดดส่องสะท้อนลงมาจะดูงดงามมาก
ถัดมากับบริเวณทางด้านหลังของพระอุโบสถ จะเป็นที่ตั้งของวิหารเล็กๆ 2 หลัง จุดเด่นของวิหารด้านหน้าคือ ที่ผนังด้านนอกแต่ละหลังตกแต่งด้วยกระจกสีตัดเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วนำมาต่อกันเป็นรูปร่างต่างๆ เล่าความเป็นนิทานพื้นบ้านลงบนผนังสีชมพู ดูสวยงามน่ารักตามแบบฉบับชาวหลวงพระบางเลยทีเดียว วิหารหลังเล็กด้านข้างพระอุโบสถที่มีชื่อว่า “วิหารแดง” ภายในเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปางไสยาสน์ที่งดงาม
ในช่วงวันบุญวันขึ้นปีใหม่ของลาว(ช่วงวันสงกรานต์) จะมีการอัญเชิญ “พระม่าน” ลงมาเพื่อให้ประชาชนได้สรงน้ำและกราบไหว้ เรื่องราวภายในผนังด้านหลังวิหารนี้เป็นภาพประดับกระจกสีเล่าเรื่องวิถีชีวิตของผู้คน สร้างขึ้นในปีพ.ศ. 2493 เพื่อเฉลิมฉลองที่โลกก้าวสู่ยุคกึ่งพุทธกาล ด้านหลังหอพระม่าน เป็นที่ตั้งของพระธาตุศรีสว่างวงศ์ ซึ่งเป็นที่เก็บอัฐิของเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวงศ์และด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ติดกับรั้วเป็นโรงเก็บเรือใกล้กับริมแม่น้ำโขง ส่วนด้านหน้าพระอุโบสถเป็นที่ตั้งของหอกลองมีลวดลายลงรักปิดทองสวยงามบนเสา
นอกจากนั้นในบริเวณวัดเชียงทองเมื่อท่านเดินเข้าไปทางด้านถนนโพธิสารราช ด้านขวามือจะต้องสะดุดตากับอาคารทรงโบราณมีลวดลายแกะสลักทาสีทองอร่าม ขนาดใหญ่ซึ่งคนลาวเรียกว่า “โรงเมี้ยนโกศ”หรือเป็นโรงเก็บพระโกศ, พระราชรถ, ราชยานของเจ้าชีวิตศรีสว่างวัฒนา ซึ่งสิ้นพระชนม์เมื่อปีพ.ศ. 2502 และได้สร้างโรงเมี้ยนโกศแห่งนี้ขึ้นในปีพ.ศ. 2505 ภายในมีลักษณะเป็นโถงกว้าง ผนังด้านหน้าตั้งแต่หน้าบันลงมาจนถึงพื้นสามารถถอดออกเพื่อให้สามารถเคลื่อนราชรถออกมาได้ บริเวณกลางโรงเมี้ยนโกศเป็นที่ตั้งของราชรถไม้แกะสลักปิดทองคำเปลวรอบคัน มีพระโกศ 3 องค์ ตรงกลางเป็นโกศองค์ใหญ่ ของเจ้าศรีสว่างวัฒนา องค์เล็กด้านหลังเป็นของพระราชมารดา ส่วนองค์เล็กด้านหน้าเป็นของพระเจ้าอา โรงเมี้ยนโกศนี้ออกแบบโดยเจ้ามณีวงศ์ และแกะสลักโดยช่างหลวงพระบางที่ชื่อ “เพียตัน” เมื่อครั้งที่รับราชการอยู่ในพระมหาราชวัง นับเป็นช่างฝีมือชั้นเอกประจำพระองค์ของเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวัฒนา มีความชำนาญทั้งด้านงานเขียนและงานแกะสลัก จุดเด่นอีกอย่างหนึ่งของโรงเมี้ยนโกศ คือบริเวณผนังด้านนอกที่ “เพียตัน” แกะสลักไว้อย่างงดงามลงด้วยสีทองสุก เล่าเรื่องรามเกียรติ์ตอนสำคัญๆ เช่นด้านบนสุดเป็นตอนพิเภกกำลังบอกความลับเรื่องที่ซ่อนหัวใจของทศกัณฑ์กับพระราม, พระลักษณ์และนางสีดา ถัดลงมาเป็นตอนที่ทศกัณฑ์ต้องศรของพระรามเสียบเข้าที่หัวใจ เป็นต้น เดิมที่ภาพแกะสลักเหล่านี้เป็นลักษณะการลงรักปิดทองที่สวยงามต่อมามีการบูรณะใหม่ โดยทาสีทองทับลงไปดังที่เห็นในปัจจุบัน นอกจากนี้ภายในวัดเชียงทองยังมีเขตสังฆาวาส ประกอบด้วยกุฏิ, สถูปเจดีย์ ดังเช่นวัดทั่วๆ ไปและยังมีพระสงฆ์จำพรรษาอยู่
ข้อแนะนำ: เวลาเปิด–ปิด: 06.00 a.m. – 05.30 p.m.
ค่าธรรมเนียมเข้าชม: 20,000 กีบ/คน
พระราชวังหลวงพระบาง (พิพิธภัณฑ์ )
พระราชวังหลวงพระบาง หลังนี้เป็นอาคารเก่า ออกแบบโดยสถาปนิกชาวฝรั่งเศส ลักษณะอาคารเป็นอาคารชั้นเดี่ยวยกพื้นสูง สถาปัตยกรรมแบบฝรั่งเศส แต่เป็นการผสมผสานระหว่างฝรั่งเศสและลาว ด้านนอกอาคารเป็นที่ตั้งของอนุสาวรีย์เจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวงศ์ พระราชวังแห่งนี้เป็นที่ประทับของเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวงศ์ เป็นระยะเวลานาน จนสิ้นพระชนม์ ต่อมาเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ.2518 พระราชวังหลวงพระบาง ได้ถูกปรับเปลี่ยนให้เป็นพิพิธภัณฑ์
ข้อแนะนำ: ค่าเข้าชม 30,000 กีบ (ประมาณ 120 บาท)
เปิดเวลา 08.00 – 11.30 น. และ 13.30 – 16.30 น.
หมายเหตุ ภายในพระราชวังหลวง ห้ามการถ่ายรูปทุกชนิด
เที่ยวลาว ในดินแดนใต้ เชื่อมโยงอารยธรรมเขมร
ปราสาทหินวัดพู
ปราสาทวัดพู ตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองจำปาสักมาทางทิศใต้ประมาณ 10 กิโลเมตร ปราสาทวัดพู หรือ วัดพู นครจำปาสักได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ในอดีตที่ตั้งของวัดพู เคยเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์และแห่งอารยธรรมโบราณถึง 3 สมัยด้วยกัน คือ อาณาจักรเจนละในช่วงศตวรรษที่ 6 – 8 ค้นพบจารึกกล่าวถึงการฆ่าคนเพื่อบูชาแด่เทพเจ้า ต่อมาเป็นยุคของอาณาจักรขอมสมัยก่อนเมืองพระนคร ที่เลือกบริเวณนี้เป็นที่สร้างปราสาทหินในราวศตวรรษที่ 9 และสุดท้ายอาณาจักรล้านช้างได้เปลี่ยนเทวาลัยในศาสนาฮินดูให้เป็นวัดในพุทธศาสนานิกายเถรวาท
สิ่งที่โดดเด่นสะดุดตาแก่ผู้พบเห็นคือภูเขาด้านหลังปราสาทที่ตั้งเด่นตระหง่านมองเห็นแต่ไกล รูปร่างคล้ายนมของผู้หญิงและคนเกล้ามวยผม ซึ่งเป็นที่มาของชื่อภูผาแห่งนี้ว่าเขานมสาว แต่ชาวบ้านนิยมเรียกภูเกล้ามากกว่า อาณาเขตของปราสาทวัดภู เริ่มต้นจากริมฝั่งแม่น้ำโดยมีบันไดทางขึ้นรถหลั่นกันขึ้นมา 3 ชั้น จนถึงองค์ประธานของปราสาทซึ่งอยู่ชั้นบนสุด นอกเขตวัดมีบารายขนาดใหญ่ ซึ่งในสมัยโบราณใช้เป็นที่แข่งเรือและที่สรงน้ำสำหรับพิธีกรรมต่างๆ
แหม!!…..จากสถานที่ท่องเที่ยวที่เรายกตัวอย่างมานี้ทั้งสวย และ มีความเป็นมาที่น่าสนใจมากเลยที่เดียวงั้นเราออกเดินทางไปยังสถานที่ต่อไปกันเลยดีกว่ารับรองว่า ทั้งสวยและน่าสนในมากๆเลยที่เดียว ➡ ➡ ➡
วัดใหม่สุวรรณภูมาราม หรือ ที่ชาวหลวงพระบางเรียกกันสั้นๆว่า “วัดใหม่”
วัดใหม่สุวรรณภูมารามหรือ “วัดใหม่” เคยเป็นที่ประทับของสมเด็จพระสังฆราชบุญทัน ซึ่งเป็นสมเด็จพระสังฆราชองค์สุดท้ายของลาวและยังเคยเป็นที่ประดิษฐานพระบางซึ่งเป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของหลวงพระบางในรัชสมัยของเจ้ามหาชีวิตสักรินฤทธิ์ จนกระทั่งถึงปีพ.ศ. 2437 จึงได้อัญเชิญพระบางไปประดิษฐานในหอพระบางภายในพระราชวังจวบจนกระทั่งปัจจุบัน เมื่อมาเยือนวัดแห่งนี้สิ่งที่เราจะสังเกตเห็นถึงความแตกต่างจากวัดอื่นๆ คือตัวอุโบสถ (สิม) ลักษณะจะเป็นอาคารทรงโรง หลังคามีขนาดใหญ่ มีชายคาปกคลุมทั้งสี่ด้านสองระดับต่อเนื่องกัน
ด้านข้างมีฐานยื่นออกมารับกับชายคาที่ทอดยาวลงเกือบถึงพื้นดิน บนยอดหลังคาเป็นหน้าจั่วขนาดใหญ่โดยมีหลังคาเล็กๆ ซ้อนอยู่อีกชั้นหนึ่ง ตรงกลางของหลังคาเล็กประดับช่อฟ้า ด้านหลังมีหอขวางสร้างขึ้นติดกัน เชื่อว่ามาต่อเติมในภายหลัง ที่ระเบียงด้านหน้ามีอาคารคล้ายศาลาขวางครอบอยู่ มีหลังคาติดกับหลังคาอุโบสถ ที่เสาลงรักปิดทองอย่างสวยงาม ผนังด้านหน้าพระอุโบสถตกแต่งด้วยภาพลงรักปิดทองดูเหลืองอร่ามงามตายาวตลอดผนัง เล่าเรื่องพระเวสสันดรชาดก โดยฝีมือช่างหลวงประจำรัชกาลเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวงศ์ ด้านล่างเป็นรูปสัตว์ชนิดต่างๆ มีรูปช้างน้ำอยู่ด้านล่างขวาของภาพ ส่วนบานประตูแกะสลักเป็นรูปเทวดาศิลปะแบบเชียงขวาง ภายในพระอุโบสถมีพระพุทธรูปนับหมื่นนับแสนองค์บนผนังสีแดง คล้ายกับที่เคยพบเห็นในวัดบางแห่งของจังหวัดเชียงใหม่ ตรงกลางเป็นพระพุทธรูปทรงเครื่อง มีพระพักตร์ที่งดงาม จัดเป็นกลุ่มพระพุทธรูปหลวงพระบางแบบหนึ่ง ตรงข้ามด้านหน้าพระอุโบสถมีอาคารก่ออิฐถือปูนหลังเล็กๆ 2 หลังขนาดต่างกัน ชาวลาวเรียกว่า “อูบมุง” ขนาบข้างพระธาตุทรงดอกบัวสี่เหลี่ยม อูบมุงหลังใหญ่หันหน้ามาทางพระอุโบสถ ภายในมีพระพุทธรูปปางมารวิชัยขนาดค่อนข้างใหญ่ประดิษฐานอยู่ ส่วนอูบมุงหลังเล็กหันหน้าออกถนน บริเวณภายในวัดใหม่มีการจัดวางผังอาคารกลุ่มพุทธวาสและสังฆาวาสแยกออกเป็นสัดส่วน มีแนวต้นไม้เล็กๆคั่นอยู่ และในช่วงปีใหม่ลาว (เดือนเมษายนของทุกปี) ทางการได้มีการอัญเชิญ “พระบาง” ซึ่งเป็นพระคู่บ้านคู่เมืองของหลวงพระบาง มาไว้ที่ลานด้านหน้าของวัดใหม่แห่งนี้ เพื่อให้ประชาชนได้สรงน้ำอีกด้วย
ข้อแนะนำ: เวลาเปิด-ปิด: 07.00 a.m.-06.00 p.m.
ค่าธรรมเนียมเข้าชม: 10.000 กีบ/คน
เที่ยวลาว อะไรคือ? “สี่พันดอน”
สี่พันดอน
สี่พันดอน หรือที่เรียกกันว่า ดินแดนต้องมนตร์แห่งลาวใต้ คำว่า “สี่พันดอน” ในภาษาลาวแปลว่า สี่พันเกาะ ซึ่งเป็นสถานที่ที่เป็นหมู่เกาะตั้งอยู่บริเวณแม่น้ำโขงทางตอนใต้ของประเทศลาว ก่อนที่จะไหลเข้าเขตประเทศกัมพูชา ชาวลาวที่อาศัยอยู่แถบนี้ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพประมง และยังคงดำรงชีวิตแบบชาวชนบทแท้กับความเป็นอยู่ที่เรียบง่าย เงียบสงบ
เราขอแนะนำเกี่ยวกับการจุดท่องเที่ยวของที่นี่มีอยู่ 3 แห่ง คือ ดอนคง เกาะที่มีขนาดใหญ่ที่สุด มีบรรยากาศเงียบสงบ เหมาะแก่การพักผ่อนแบบชิล ๆ สัมผัสอากาศบริสุทธิ์ ชมความงามของธรรมชาติ, ดอนคอน และ ดอนเดด เป็นเกาะที่นักท่องเที่ยวนิยมเดินทางมาค่อนข้างมาก ซึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญที่พลาดไม่ได้ ก็คือ น้ำตกหลี่ผี สายน้ำโขงที่ไหลผ่านเนินโขดหินด้วยความแรงจนเกิดเป็นละอองสีขาวไปทั่วแก่ง ทำให้พื้นทีแห่งนี้เต็มไปด้วยความสวยงามของละอองสีขาว เหมือนดินแดนต้องมนตร์ในนิยายเลยก็ว่าได้ แถมยังมีที่พักเปิดให้บริการกับผู้คนที่แวะเวียนมาเยี่ยมชมธรรมชาติอีกด้วย ถ้าใครท่านใดได้แวะมาลาวใต้อย่าลืมแวะมาที่สี่พันดินแห่งนี้นะคะ
ข้อแนะนำ: ช่วงที่เหมาะแก่การเที่ยวชมคือช่วงกรกฎาคม – ธันวาคม เพราะคุณจะเห็นสายน้ำจำนวนมากในแก่งหลี่ผีที่ไหลถาโถมผ่านเนินหินโขดหินลงมาด้วยกำลังแรงแตกเป็นละอองสีขาวไปทั่วแก่งดูสวยงาม
*สุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุดกับสิ่งที่พลาดไม่ได้เมื่อเรามาเยือนประเทศลาว คือ การตักบาตรข้าวเหนียวในตอนเช้า
ม่วนบ่อ (สนุกมั้ยคะ) กับสถานที่ท่องเที่ยวที่เราเอามาแนะนำ เป็นไงคะบ้านเมืองของน้องดาวของเรา สวยมั้ยคะ?? 😉 🙂 🙄
ถ้าผู๋ได๋อยากสิไปเที่ยวแต่มีเวลาน้อยแถมไม่ไกล แนะนำประเทศลาวไปไว้ใน อ้อมอก อ้อมใจ นำเด้อคะ…. 😉 😉 😉
หาโรงแรม ที่พัก รีสอร์ท อพาร์ทเมนท์ ห้องเช่า เที่ยวลาว กันค่ะ
มีชีวิตกับการเดินทางตั้งแต่สมัยเรียน จนมาเป็นอาชีพมัคคุเทศก์ เดินทางนำเที่ยวต่างประเทศมาหลายประเทศ จนมาเป็นนักเขียนบทความท่องเที่ยว เป็นนักพัฒนา Web Application สำหรับการท่องเที่ยว ต่อเนื่องมาเป็นผู้ทำตลาดการท่องเที่ยว และเป็นผู้บริหารบริษัทธุรกิจการท่องเที่ยว
คุณต้องเข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น.